วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

บทที่ 6 การ์ดแสดงผล

การ์ดแสดงผล หรือ การ์ดจอ (video card หรือ display card) เป็นอุปกรณ์ที่รับข้อมูลเกี่ยวกับการแสดงผลจากหน่วยความจำ มาคำนวณและประมวลผล จากนั้นจึงส่งข้อมูลในรูปแบบสัญญาณเพื่อนำไปแสดงผลยัอุปกรณ์แสดงผล (มักเป็นจอภาพ)

ประเภทของการ์แสดงผล

1.AGP(Accelerated Graphics Port)







2.PCI Express 





การทำงานของการ์แสดงผล
ถ้าคุณซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์สักตัวก็จะได้รับจอภาพพร้อมกับการ์ดแสดงผลที่ติดตั้งภายในเครื่องคอมพิวเตอร์มาด้วย (การ์ดแสดงผลมักจะเสียบอยู่กับช่องเสียบการ์ดแสดงผลภายในเครื่องคอมพิวเตอร์    แต่จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์บางรุ่นที่การ์ดแสดงผลเชื่อมอยู่บนกระดานระบบ)
ข้อควรระวัง  ในกรณีที่คุณต้องการเปลี่ยนจอภาพ ควรจะถามผู้ขายด้วยว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนการ์ดแสดงผลด้วยหรือไม่ เพราะจอภาพบางรุ่นจำเป็นต้องใช้ควบคูกับการ์ดแสดงผลเฉพาะรุ่น
 (การแสดงผล  {มักจะเรียกว่าวิดีโอการ์ด}  จะทำงานคู่กันกับจอภาพ)

                จอภาพแบบมัลติสแกน  (Multiscan monitor)  จะสามารถทำงานร่วมกับการ์ดแสดงผลได้หลากหลายรุ่น  ข้อดีของจอภาพแบบนี้ก็คือ  ในกรณีที่คุณเปลี่ยนการ์ด  แสดงผลใหม่  คุณก็สามารถใช้จอภาพชนิดนี้ต่อเชื่อมได้ทันที  โดยไม่ต้องเปลี่ยนจอภาพใหม่เหมือนกับการ์ดแสดงผลบางรุ่น  แต่ข้อเสียของจอภาพแบบนี้ก็คือมีราคาแพง
บางครั้งคุณอาจจะได้ยินคนบานเรียกการ์ดแสดงผลว่า  การ์กากราฟิก”(Graphic board)  หรืออาจจะเรียกว่า  ตัวแปลงสัญญาณกราฟิก”  (Graphic adapter)  หรือแม้แต่ตัวแปลงสัญญาณวิดีโอ  (Video adapter)  หรือวิดีโอบอร์  (Video board)  ไม่ต้องสับสนทุกคำล้วนหมายถึงการ์ดแสดงผลทั้งสิ้น

สี

คุณต้องการสีสันบนจอภาพหรือไม่  ถ้าใครต้องการ คำแนะนำของผมก็คือ  ซื้อจอภาพสีซะถึงแม้ว่าคุณจะต้องใช้เวลากับการทำงานบนโปรแกรมเวิร์ดโปรเซสเซอร์  โปรแกรมบัญชีและพิมพ์ออกมาในแบบขาวดำ  แต่ถ้าคุณมีจอภาพสีคุณจะรู้สึกถึงความสนุกสนาน และความง่ายในการใช้งานมากกว่าใช้จอภาพขาวดำ   ไม่ว่าจะเป็นโปรดแกรมเวิร์ดโปรดเซสเซอร์โปรดแกรมกระดานอีเล็กทรอนิกส์  หรือโปรแกรม   อื่นใดก็ตามจอภาพสีมอบความสบายให้กับคุณมากกว่า เช่น  คุณจะสามารถเห็นตัวอักษรที่เลือกได้ง่ายกว่า หรือเมื่อคุณมีตัวเลขติดลบบนกระดานอิเล็กทรอนิกส์     โปรแกรมก็จะแสดงตัวเลขนั้นออกบนจอภาพในรูปแบบของตัวเลขสีแดง เป็นต้น และที่สำคัญที่สุด จอภาพสีได้รับความนิยมในการใช้งานสูงการซ่อมแซมทำได้ง่าย และ  ราคาถูกกว่า

ความละเอียด

ความละเอียดของจอภาพขึ้นอยู่กับจำนวนจุดแสงที่มีอยู่บนจอภาพ  (ซึ่งเรียกว่า    พิกเซล” (Pixel)  มาจากคำว่า  Picture elements)  จอภาพที่มีความละเอียดสูงจะทำให้คุณมองภาพที่อยู่บนจอได้ง่าย  และเห็นรายละเอียดต่าง ๆ อย่างชัดเจน
ทุกวันนี้มาตรฐานต่ำสุดของจอภาพสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความ -สามารถเหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของบริษัทไอบีเอ็ม (IBM  compatible) ก็คือ   จอภาพแบบ  VGA  (มาจาก  Video Graphic Array)  จอภาพแบบนี้สามารถแสดงผลได้ที่ความละเอียด 640  พิกเซลทางด้านแนวนอน และ  480  พิกเซลทางด้านแนวตั้ง   แต่อย่างไรก็ตาม เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีการวางขายในปัจจุบันมักจะขายพร้อมกับจอภาพในแบบ  SVGA  (Super  VGA)  ซึ่งจะสามารถแสดงผลได้ที่ความละเอียด  800  คูณ  600  พิกเซล หรือ  1,024 คูณ  768  พิกเซล ขึ้นอยู่กับโปรม-แกรมที่ใช้งาน และถ้าคุณต้องการที่จะใช้งานโปรแกรมมัลติมีเดียคุณควรจะเลือกใช้จอภาพแบบ  SVGA  เพราะว่าโปรดแกรมมัลติมีเดียส่วนมากต้องการจอภาพในแบบ  SVGA (จอภาพ  SVGA  จะสามารถทำงานในโหมด  VGA  ได้ดีเท่า ๆ กับจอภาพแบบ  VGA)

 

ขนาด

จอภาพมาตรฐานทั่วไปมักจะมีขนาด  14  นิ้ว  (วัดตามเส้นทแยงมุมเหมือนการวัด   ขนาดโทรทัศน์)  แต่ถ้าคุณมีกำลังซื้อมาก  คุณอาจจะซื้อจอภาพที่มีขนาด  15  นิ้ว,  16  นิ้ว, 17  นิ้ว  เพราะว่าจอภาพยิ่งมีขนาดใหญ่ก็จะแสดงผลต่าง ๆ บนจอกภาพได้มากขึ้น มองเห็นได้ชัดขึ้น
จอภาพที่ใหญ่ที่สุดที่มีการผลิตจำหน่ายในปัจจุบัน  มักจะนิยมผลิตขนาด    20  นิ้ว, 21  นิ้ว และ  24  นิ้ว  จอภาพยิ่งมีขนาดใหญ่ก็ยิ่งมีราคาแพงมากขึ้น  ข้อดีของจอภาพขนาดใหญ่ก็คือมองเห็นภาพขนจอได้ชัดเจน สามารถแสดงข้อมูล  บนจอภาพได้มกกว่าจอภาพธรรมดาเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องทำงานกับกระดานอิเล็กทรอนิกส์ที่มีปริมาณข้อมูลมาก ๆ  เพราะจะเห็นข้อมูลทั้งหมดได้ในเวลาเดียวกัน แต่มิใช่ว่าจอภาพขนาดใหญ่จะมีแต่ข้อดี ข้อเสียก็มีเหมือนกัน ข้อเสียของจอภาพขนาดใหญ่ก็คือ ราคาแพง นอกจากนั้นยังใช้เนื้อที่บนโต๊ะมาก และอาจมีความสว่างในการแสดงผลมากเกินไปสำหรับบางคน อาจจะทำให้แสบตา ซึ่งผู้เขียนก็ไม่ได้   ต้องการให้ผู้ใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ต้องซื้อจอภาพใหญ่ ๆ มาใช้ ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนมากกว่า

คุณภาพของภาพ


มีหลายปัจจัยที่เราจะต้องใช้เมื่อเวลาที่เราต้องการจะตัดสินว่าจอภาพใดมีคุณภาพ     มากกว่ากันสิ่งที่สำคัญที่สุด  และต้องให้ความสำคัญกับมันมากกว่าอย่างอื่น  เมื่อ   ต้องการจะตัดสินถึงคุณภาพของจอภาพก็คือ ระยะห่างระหว่างจุด  (dot pitch),     อัตราการสร้างภาพใหม่ในแนวตั้ว  (vertical refresh rate)  และการเต้นของภาพ   (interlacing)  และสิ่งสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุดก็คือ  ความชอบของตัวผู้ซื้อ  ระยะห่างระหว่างจุดจะใช้สำหรับการวัดคุณภาพของจอภาพสีเท่านั้น  ซึ่งระยะห่างระหว่าง   จุดนี้จะบ่งบอกถึงความละเอียดของแต่ละพิกเซลบนจอภาพ จอภาพที่มีระยะห่างระหว่างจุดน้อย จะแสดงภาพบนจอภาพได้ดีกว่าจอภาพที่มีระยะห่างระหว่างจอภาพมาก จอภาพขนาด  14  นิ้ว ควรจะมีระยะห่างระหว่างจุดประมาณ  0.28  หรือน้อยกว่า ในขณะที่จอภาพใหญ่อาจจะมีค่าระยะห่างระหว่างจุดมากกว่าจอภาพ  14  นิ้ว
เล็กน้อย อย่างไรก็ตามจงอย่าตกเป็นเหยื่อของผู้ขายถ้าพวกเขาเหล่านั้นเสนอขายจอภาพที่มีระยะห่างระหว่างจุดสูง ๆ ในราคาที่ถูกกว่าจอภาพที่มีระยะห่างระหว่าง จุดต่ำ ๆ พวกเข้าเหล่านั้นมักจะมีวิธีที่ทำให้คุณหลงเชื่อว่า  จอภาพที่มีระยะห่างระหว่างจุดต่ำ ๆ สามารถแสดงผลได้ชัดเจนเทียบเท่ากับจอภาพที่มีระยะห่างระหว่างจุดสูง ๆ โดยพวกเขาเหล่านั้นมักจะแสดงให้คุณดูในภาพกราฟิก และชี้ให้คุณเห็นว่าไม่มีความแตกต่างในการแสดงผลแบบกราฟิก แต่สิ่งที่วัดคุณภาพ หรือความละเอียดของจอภาพไม่ได้วัดจากการที่จอภาพสามารถแสดงภาพกราฟิกบนจอได้ชัดเจน   มากน้อยเพียงไร  และถ้าคุณต้องการจะดูว่าจอภาพดังกล่าวมีคุณภาพมากน้อย   เพียงไร  ให้ดูจากความคมชัดของตัวอักษรที่แสดงบนจอภาพ

                ส่วนอัตราการสร้างภาพใหม่ในแนวตั้งของจอภาพ จะแสดงให้คุณทราบถึง     จำนวนวครั้งที่จอภาพทำการกวาดเส้นสร้างภาพจากตำแหน่งบนสุดของจอภาพ ไปถึงตำแหน่งล่างสุดของจอภาพต่อวินาที  จอภาพที่มีค่านี้ยิ่งมากเท่าไรยิ่งมีคุณภาพดีมากเท่านั้น อัตราการสร้างภาพนี้จะมีหน่วยเป็นเฮิรตซ์  (Hz)  จอภาพส่วนใหญ่จะมีอัตราการสร้างภาพที่  60  ครั้งต่อนาที่ (60  Hz)  ซึ่งเรียกว่าดีพอสำหรับการแสดงผลตัวอักษร แต่อาจจะไม่ค่อยดีสำหรับการแสดงผลในแบบกราฟิก  ซึ่งเป็นหัวใจหลักของวินโดวส์และโปรดแกรมใช้งานที่ทำงานภายใต้วินโดวส์โดยทั่วไป  ซึ่งควรจะใช้จอภาพในแบบ  SVGA  ซึ่งมีอัตราการแสดงผลที่  72  Hz

                การเต้นของภาพเกิดจากกระบวนการสร้างภาพบนจอภาพ  จอภาพที่มี     การเต้น  (Interlaced monitor)  เกิดจากการหลอดภาพของจอภาพชนิดนี้จะต้องกวาดลำแสงสองครั้งเพื่อสร้างภาพ  (เหมือนกับโทรทัศน์)  แต่สำหรับจอภาพที่มี    การกวาดลำแสงในการสร้างภาพเพียงครั้งเดียว  จะให้ภาพที่นิ่งกว่าและระคายเคือง  ตาเวลาทำงานหน้าจอภาพนาน ๆ น้อยกว่า เราเรียกจอภาพแบบนี้ว่า “noninterlaced monitor”

                ดังนั้น  ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อจอภาพ กรุณาบอกให้คนขายลองจอภาพให้ดู       ประกอบการพิจารณา  โดยให้ทางคนขายเปิดโปรแกรมที่ใช้งานโดยทั่วไป เช่น    โปรดแกรมเวิร์ดโปรเซสเซอร์ โปรแกรมกระดานอเล็กทรอนิกส์  โปรดแกรมวาดภาพโปรแกรมมัลติมีเดียจากซีดีรอมหรือเกม รวมทั้งภาพเคลื่อนไหว  แล้วให้สังเกตดู  ทั้งคุณภาพของตัวอักษร และรูปภาพบนจอภาพว่าแสบตาหรือไม่  รวมทั้งมีความคมชัดเป็นที่น่าพอใจหรือไม่  สำหรับวิธีที่ดีที่สุดในการดูว่าคุณภาพของภาพเป็นอย่างไร ให้ลองดูตัวอักษรสีขาวบนพื้นสีดำ ซึ่งจะบ่งบอกถึงคุณภาพของจอภาพได้ง่าย และตรงมากที่สุด

ท้ายสุดสำหรับการซื้อจอภาพก็คือความพึงพอใจของผู้ซื้อ  ถ้าคุณมองแล้วชอบก็ซื้อไปเถอะ  เพราะคุณเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าจอภาพที่คุณเห็น  คุณภาพของภาพที่เห็นคุณพอใจหรือไม่  ผู้ซื้อบางคนาจะชอบยืดติดกับยี่ห้อ  สำหรับคนเขียนก็เป็น  คนหนึ่งที่ยืดติดกับยี่ห้อเหมือนกัน ผู้เขียนมักชอบที่จะใช้จอภาพของ  Sony, NEC หรือไม่ก็ของ  Philip  ถึงแม้ว่าคุณภาพของจอเหล่านี้จะมีคุณภาพที่ดีกว่าจอภาพ    อื่น ๆ  แต่ขอเสียก็อยู่ตรงที่มีราคาแพง  แต่ก็คุ้มค่ากับความสามารถของมันที่จะมอบให้กับเรา  คำแนะนำสุดท้ายของผมเกี่ยวกับซื้อจอภาพก็คือ  ซื้อจอภาพที่ทำให้คุณรู้สึกว่าคุณเกิดมาเพื่อใช้จอภาพนั้น  ผมชอบที่จะสั่งซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์จากหนังสือแค็ตตาล็อก  แต่ไม่มีวันที่จะซื้อจอภาพจากแค็ตตาล็อกเพราะผมจะไม่มีโอกาสเห็นคุณภาพของมันก่อนที่จะซื้อ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น